แนะนำ 7 อันดับ ไมค์อัดเสียง ยอดฮิตน่าซื้อ อัพเดทล่าสุดปี 2567
คุณรู้หรือไม่? ว่าปัจจุบันนี้"ไมค์อัดเสียง"นั้นโดยมีทั้ง ไมค์อัดเสียง แล้วแบบนี้คุณจะทราบได้อย่างไรว่าในแต่ละรุ่นหรือประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร? หรือไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดี? ราคาแพงไหม? ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาไมค์อัดเสียงดีๆสักรุ่น วันนี้เราได้จัดอันดับ แนะนำ ไมค์อัดเสียงคุณภาพดีมาให้คุณได้เลือกกันแล้วดังนี้
2. ส่งจากไทยไมค์ bm800 ครบ ชุด ของแท้ ไมค์คอนเดนเซอร์ ไมค์อัดเสียง ซาวด์การ์ด ไมค์ไลฟ์สดไมค์อัดเพลง อุปกรณ์ พร้อม ไมค์
3. ไมค์อัดเสียง ไมโครโฟน ไมค์ร้องเพลง Condenser Microphone พร้อม ขาตั้งไมโครโฟน และอุปกรณ์เสริม คอนเดนเซอร์ไมโครโฟน 3.5 มิลลิเมตร การรับประกัน
4. 2 ไมค์ต่อมือถือ ไมค์อัดเสียง ไมโครโฟนแบบหนีบเสื้อ ไมโครโฟนไร้สาย บันทึกเสียง ร้องเพลง เสียงดี ไมโครโฟ ไมค์ติดปกเสื้อ
5. ไมค์ไลฟ์สด ไมค์อัดเสียงType-C มีของส่งทันที
6. 【การจัดส่งในพื้นที่】ไมค์อัดเสียง U87ไมค์คอนเดนเซอร์ 103ไมค์คอมพิวเตอร์ ไมโครโฟนร้องเพลง มาพร้อมกับขาตั้งไมโครโฟนและอุปกรณ์เสร
7. (อยู่ไทยพร้อมส่ง)ไมค์อัดเสียง3.5 Type c ไมค์ไลน์สด ไมค์โทรศัพย์ ไมค์กล้องDSLR Mirrorless Microphone Smartphone ไมค์สาย
ไมค์อัดเสียง ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะไม่ได้มีใช้สำหรับการร้องเพลงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึงในหมู่คนที่สร้างสรรค์ Content ต่าง ๆ บน Social Media อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ YouTube เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่า ไมค์อัดเสียงแต่ละตัวก็มีคุณภาพและคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างกันไป เช่น ไมค์บางตัวเหมาะกับการใช้งานคนเดียว หรือบางตัวก็สามารถใช้งานร่วมกันหลายคนได้ เป็นต้น
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปศึกษาวิธีการเลือกไมค์อัดเสียงกันอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดสำคัญในการตัดสินใจซื้อ และเพื่อให้คุณได้ไมค์อัดเสียงที่มีคุณภาพตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานของคุณด้วยครับ นอกจากนี้ เรายังมี 10 อันดับไมค์อัดเสียงรุ่นยอดนิยม ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายจากร้านค้าออนไลน์อีกด้วย ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านกันเลยครับ !
ไมโครโฟนนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไมโครโฟนไดนามิก (Dynamic Microphone) และไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) โดยไมโครโฟนแบบไดนามิกจะเป็นไมโครโฟนที่มักใช้สำหรับการแสดงสดหรือการร้องที่ไม่ได้ต้องการความชัดเจนของเสียงมากนัก มีความทนทานและใช้งานได้ง่าย นอกจากนี้ ไมโครโฟนประเภทนี้ยังไม่ต้องใช้พลังงานเยอะ ทนต่อความชื้น มีความไวต่อการเกิดเสียงที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเราจะคุ้นเคยกับไมค์ประเภทนี้ก็คือ ไมค์สำหรับร้องคาราโอเกะนั่นเองครับ
ส่วนไมโครโฟนคอนเดนเซอร์นั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานตลอดเวลา เนื่องจากมีความไวเสียงสูง ให้รายละเอียดเสียงที่ดี และรับช่วงความถี่เสียงได้กว้าง โดยไมโครโฟนประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าไมโครโฟนแบบไดนามิก และได้รับความนิยมสูงมากสำหรับการใช้บันทึกเสียงในสตูดิโอ มีคุณสมบัติที่ทนต่อความชื้นและแรงสั่นสะเทือนในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ทั้งยังไวต่อการเกิดเสียงสูง นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งานและบริษัทที่ผลิต ซึ่งไมค์อัดเสียงที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ก็คือ ไมโครโฟนประเภทคอนเดนเซอร์ครับ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ไมค์อัดเสียงนั้นมีวางจำหน่ายมากมายตามท้องตลาด ดังนั้น คุณควรศึกษารายละเอียดต่อไปนี้ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คุณสามารถเลือกไมค์อัดเสียงที่ตรงกับความต้องการสำหรับการใช้งานในระยะยาวได้ครับ
หากคุณต้องการอัดเสียง, ร้องเพลง, แคสเกม หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้การรับเสียงจากเบื้องหน้า เราขอแนะนำให้เลือกไมค์อัดเสียงแบบรับเสียงทิศทางเดียว (Unidirectional) เพื่อให้การบันทึกเสียงได้โฟกัสไปที่เสียงของคุณโดยตรง ซึ่งจะรับเสียงได้ดีกว่าไมค์แบบอื่น ๆ โดยไมค์แบบรับเสียงทิศทางเดียวนั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
ไมค์อัดเสียงประเภทนี้ เป็นไมค์อัดเสียงที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีความไวต่อเสียงจากด้านหน้าสูงมากและแทบจะไม่รับเสียงรบกวนที่อยู่เบื้องหลังของไมโครโฟนเลย ดังนั้น จึงเป็นไมค์ที่เหมาะในการอัดเสียง ซึ่งผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องไปจดจ่ออยู่กับหน้าไมค์ แต่สามารถเคลื่อนไหวหรือเต้นในขณะอัดเสียงไปด้วยได้เลย ที่สำคัญ ไมค์ประเภทนี้ยังไม่รับเสียงรบกวนจากทางด้านหลัง จึงป้องกันปัญหาการเกิดไมค์หอนได้เป็นอย่างดีครับ
นอกจากนี้ หากต้องการไมค์สำหรับใช้ในการ LIVE คนเดียวหรือแคสเกม โดยเฉพาะแนว FPS ที่ผู้เล่นอาจจะต้องใช้อารมณ์ร่วมในการเล่นที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เราก็ขอแนะนำเลือกไมค์อัดเสียงประเภทนี้ด้วยเช่นกันครับ โดยคุณอาจเลือกใช้เป็นแบบไมค์ติดปกเสื้อเพื่อความสะดวกในการใช้งาน เป็นต้น
หากคุณไม่จำเป็นต้องขยับตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้วยในขณะอัดเสียง และต้องการเสียงร้องที่มีคุณภาพชัดเจน เราขอแนะนำให้ใช้ไมค์อัดเสียงประเภท Super Cardioid ซึ่งจะมีการรับเสียงจากข้างหน้าในมุมที่แคบกว่าประเภทคาร์ดิออยด์ปกติ ทำให้ช่วยป้องกันเสียงจากรอบข้างได้ดีกว่ามาก และรับเสียงแทรกจากด้านหลังได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น รวมถึงป้องกันปัญหาไมค์หอนได้ดี จึงสามารถอัดเสียงได้อย่างลื่นไหลกว่า แถมยังปรับเพิ่มความดังของเสียงในการอัดได้สะดวกมากกว่าด้วยครับ
หากคุณต้องใช้ไมโครโฟนเพื่ออัดเสียงท่ามกลางลำโพงขนาดใหญ่หรือในพื้นที่กว้าง เช่น การแสดงคอนเสิร์ตหรือหอประชุม เราขอแนะนำให้คุณใช้ไมค์อัดเสียงแบบ Hyper Cardioid ที่มีองศาในการรับเสียงแคบกว่าแบบ Super Cardioid ทำให้ช่วยป้องกันเสียงจากรอบข้างไม่ให้มารวมกับเสียงร้องของคุณได้ ดังนั้น คุณจึงสามารถอัดเสียงได้อย่างมีคุณภาพและชัดเจน โดยที่เสียงร้องไม่จมไปกับเสียงรอบข้างครับ
เนื่องจากไมค์ประเภทนี้ สามารถรับเสียงและตอบสนองต่อความถี่ของเสียงได้กว้างที่สุด เมื่อเทียบกับไมค์ประเภทรับเสียงทิศทางเดียวประเภทอื่น ทำให้เมื่อคุณเข้าใกล้ไมค์อัดเสียงมาก ๆ จะไม่ทำให้เสียงความถี่ต่ำดังมากขึ้น (Proximity Effect) คุณจึงสามารถอัดเสียงร้องไปพร้อม ๆ กับเสียงดนตรีประเภท Acoustic ได้อย่างง่ายดาย
ไมค์อัดเสียงแบบรับเสียง 2 ทิศทาง (Bi-Directional) นั้น จะมีองศาการรับเสียงจาก 2 ทิศทาง คือ ด้านหน้าและด้านหลังของไมโครโฟนแบบระยะแคบ ซึ่งหมายความว่า ไมค์ประเภทนี้จะสามารถรับเสียงที่อยู่ใกล้ได้ดีกว่าเสียงที่อยู่ไกล จึงมักถูกนำไปใช้งานในระบบการจดจำเสียงของคอมพิวเตอร์ (PC Voice Recognition System) และระบบนำทางในรถยนต์ (Car Navigation System) โดยแบบที่นิยมสูงสุด คือ การนำไปใช้ในการอัดเสียงสนทนาระหว่างคน 2 คน เช่น การสัมภาษณ์หรือการจัดรายการร่วมระหว่างพิธีกร เป็นต้น
ไมค์อัดเสียงแบบรอบทิศทาง (Omni-Directional) นั้น จะรับเสียงได้จากทิศทางรอบ ๆ ไมโครโฟน ดังนั้น จึงเหมาะในการอัดเสียงจากคนหลาย ๆ คนพร้อมกัน เช่น การใช้งานตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป หรือการประชุมพร้อมกันในลักษณะที่ทุกคนนั่งล้อมรอบกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไมค์ประเภทนี้ไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในการแสดงสดทุกประเภท เพราะมีโอกาสเกิดปัญหาไมค์หอนได้ง่าย จึงเหมาะที่จะใช้ใน สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเงียบ อย่างในห้องประชุมมากกว่านั่นเองครับ
ถึงแม้ว่าเราแทบจะไม่ทราบถึงคุณภาพของเสียงที่อัดจากไมค์ได้เลยจนกว่าจะได้ลองอัดจริง แต่ก็ยังสามารถตรวจสอบปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพในการอัดเสียงได้ โดยการดูจากค่าความไวในการรับเสียง (Sensitivity) และการตอบสนองความถี่เสียง (Frequency Response) ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ความไวในการรับเสียงของไมโครโฟนจะแสดงค่าเป็น dB หรือเดซิเบล (Decibel) โดยไมค์อัดเสียงประเภทคอนเดนเซอร์ส่วนใหญ่นั้นจะมีค่า dB เริ่มตั้งแต่ -30 ถึง -40 dB และหากมีค่าเข้าใกล้ 0 มากเท่าไร ยิ่งแสดงว่าไมค์อัดเสียงตัวนั้นมีความไวในการรับเสียงที่มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
คุณควรเลือกไมค์อัดเสียงที่มีย่านความถี่ในการรับเสียงตรงกับเสียงที่ต้องการจะอัด เพราะความถี่ของเสียงจะสะท้อนถึงช่วงเสียงที่ไมค์จะอัดได้ดีที่สุด โดยหากดูในกราฟ กราฟจะพลอตค่าความไวในการรับเสียงเป็นแนวตั้ง และพลอตย่านความถี่เสียงในแนวนอน ซึ่งเราสามารถใช้กราฟนี้เป็นเกณฑ์ในการวัดได้ครับ
เมื่อย่านความถี่ต่ำ ความไวในการรับเสียงจะสูงขึ้นและกราฟด้านซ้ายก็จะพุ่งขึ้นกลายเป็นรูปทรงเหมือนภูเขา ซึ่งเสียงที่ได้จะให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยเสียงเบสที่เน้นกว่าปกติ ส่วนในด้านที่ราบเรียบ ไม่มีคลื่นบนกราฟ นั่นคือแถบที่แสดงถึงความพร้อมของไมค์ที่จะอัดเสียงใหม่ โดยถ้าคุณต้องการอัดเสียงเครื่องดนตรีด้วย ก็สามารถใช้กราฟดังกล่าวในการอ้างอิงได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้คุณสามารถหาย่านความถี่เสียงที่เข้ากับเครื่องดนตรีที่คุณจะใช้ร่วมด้วยได้ไม่ยากเลยล่ะครับ
ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์โดยตรง (ยกเว้นบางรุ่นที่มีเครื่องหมายกำกับว่าสามารถต่อกับ PC ได้) ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว เราจึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ Audio Interface ของเสียง ที่ทำหน้าที่แปลงและส่งเสียงที่อัดเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าคุณมีตัวเครื่องอยู่แล้ว ก็สามารถหาซื้อไมค์อัดเสียงที่เข้ากันได้กับเครื่อง Audio Interface นั้นได้เลยครับ
โดยความเข้ากันของไมค์อัดเสียงกับเครื่อง Audio Interface นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะต่อให้ไมค์ของคุณจะอัดเสียงได้ดีแค่ไหน แต่หาก Audio Interface ที่เป็นตัวแปลงเสียงไม่ดีหรือมีสเปกที่ต่ำกว่าประสิทธิภาพของไมค์ ก็จะทำให้ผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น เราแนะนำให้ลองเปรียบเทียบราคาไมค์กับอุปกรณ์ Audio Interface เพราะถ้ามีราคาใกล้เคียงกัน แสดงว่าสามารถใช้งานร่วมกันได้ในระดับหนึ่งครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับกับเคล็ดลับวิธีการเลือกไมค์อัดเสียงที่เรานำมาฝากกัน ซึ่งนอกจากที่กล่าวไปแล้ว เรายังมีรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ สำหรับการเลือกซื้อไมค์ให้เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะทาง เช่น ไมค์สำหรับเคสเกม, ไมค์คาราโอเกะ, และไมค์ติดกล้อง DSLR มาให้เพื่อน ๆ ได้ติดตามกันเพิ่มเติมด้วย แต่จะมีหลักการสำคัญอย่างไรบ้างนั้น กดเข้าไปชมได้ในบทความด้านล่างนี้เลย
สำหรับไมค์อัดเสียงทั้ง 10 อันดับต่อไปนี้ เป็นไมค์ที่เราตั้งใจคัดสรรมาอย่างดี เพื่อให้ผู้อ่านทุกคนได้สินค้าที่มีคุณภาพ แถมยังหาซื้อได้ง่ายจากร้านค้าออนไลน์อีกด้วย หากคุณพร้อมแล้ว ก็ไปดูกันเลยครับ
หากคุณกำลังมองหาไมค์อัดเสียงที่พกพาง่าย คุณต้องไม่พลาดกับไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ครับ ด้วยการออกแบบให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถนำมาติดกับเสื้อได้โดยไม่เกะกะ แถมยังมีสายไมค์ที่ยาวถึง 6 เมตร ทำให้สะดวกในการใช้งาน โดยสามารถเคลื่อนตัวไปยังจุดอื่นได้ง่ายขณะอัดเสียง และยังมีฟองน้ำที่ช่วยลดเสียงรบกวนอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นไมค์ที่เหมาะสำหรับงานประเภทวิดีโอมาก ๆ ใช้ได้ทั้งบน PC และสมาร์ทโฟน แต่มีข้อควรระวัง คือ หากไกลจากแหล่งกำเนิดเสียงมากก็อาจได้ยินเบาลงเล็กน้อยครับ
ไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ มีจุดเด่นในเรื่องของระบบการรับเสียง 2 ทิศทางที่สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดายผ่านสวิตช์บนตัวไมค์ โดยสามารถปรับให้รับเสียงเฉพาะด้านหน้า-ด้านหลัง หรือรับพร้อมกันจากทั้ง 2 ด้านก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีช่องสำหรับเสียบหูฟังเพื่อรับฟังเสียงที่อัดเข้ามาได้แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้คุณมั่นใจว่าเสียงที่อัดได้จะมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม ชัดเจนทุกรายละเอียด อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ง่ายมากด้วยครับ และที่สำคัญคือ สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน iRig Recorder 3 LE เพื่อปรับแต่งเสียงได้ด้วยครับ
ไมค์รุ่นนี้ตอบโจทย์คนที่กำลังมีแพลนทำรายการที่มีพิธีกร 2 คน หรือต้องการทำรายการสัมภาษณ์อย่างแน่นอน เพราะเป็นไมค์อัดเสียงที่ได้รับการออกแบบให้มีหัวไมค์ 2 ตัว แยกออกเป็น 2 สาย จากหัวเสียบ 1 อัน โดยสายเคเบิลนี้มีความยาวมากถึง 4 เมตร ช่วยให้ผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก โดยที่ไม่ต้องนั่งใกล้กันจนเกินไป อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ง่ายด้วยหัวเสียบ 3.5 mm รับรองว่าอัดเสียงได้แบบสบาย ๆ ตลอดการใช้งานอย่างแน่นอนครับ
สำหรับนักดนตรีหรือนักร้องที่กำลังมองหาไมค์อัดเสียงพร้อมใช้งาน ขอบอกว่าไมค์รุ่นนี้อาจตอบโจทย์มาก ๆ ครับ เพราะจัดเต็มไปด้วยคุณภาพ โดยเฉพาะชุดเซตติดตั้งครบชุด ที่มีความแข็งแรงทนทาน หมุนหรือปรับองศาตามต้องการได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีตัวกรองแบบ Dual-Layers ที่ช่วยให้กรองเสียงที่รับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Double-braced Arms ที่แข็งแรงทนทาน ทั้งยังพับเก็บได้ง่าย เหมาะสำหรับใช้งานในสตูดิโอสุด ๆ ทั้งครบครันและคุ้มค่าแบบนี้คุณต้องไม่พลาดครับ
สำหรับคนชอบ Live หรือแคสเกม ขอแนะนำไมค์อัดเสียงของแบรนด์ดังที่คอเกมหลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งไมค์รุ่นนี้มีจุดเด่นในเรื่องของโหมดไฟที่มีมากถึง 15 โหมด ให้คุณปรับแต่งสีได้ตามสไตล์ของตัวเอง ตัวไมค์ยังเป็นประเภทการรับเสียงรอบทิศทาง สามารถรับเสียงได้ดี ทำให้ในขณะพูดไม่จำเป็นต้องเอาไมค์จ่อไว้ที่ปากอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่ตัวไมค์ โดยที่คุณสามารถปรับระดับความดังได้ตามต้องการ ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวกอย่างมากครับ
ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยและแปลกตา จึงไม่น่าแปลกใจหากไมค์อัดเสียงรุ่นนี้เป็นที่สะดุดตาของใครหลาย ๆ คน ซึ่งตัวไมค์รับเสียงจะมีลักษณะเป็นมรงกลม มาพร้อมกับฐานตั้งอะลูมิเนียมอย่างดี และมีให้เลือกใช้งานถึง 3 โหมด ที่ช่วยปรับให้เข้ากับทั้งเสียงร้อง เครื่องดนตรี และเสียงพูดได้ดี แถมยังมีระบบที่ช่วยปรับค่าต่าง ๆ เช่น Gain, EQ, Compression และ Limiting ให้เหมาะสมกับการใช้งานได้อัตโนมัติ อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และมือถือระบบ Android และ iOS ได้ง่ายดายอีกด้วย
ถือเป็นไมค์อัดเสียงที่คุณสมบัติครบครันมาก ๆ ครับ เพราะนอกจากประสิทธิภาพการอัดเสียงทั้งเสียงต่ำและสูงได้แล้ว ยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมครบชุด เช่น แป้นกรองเสียงที่ช่วยป้องกันเสียงแทรกได้ดี และขาปรับระดับที่ช่วยให้ติดตั้งและปรับองศาในการใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังเหมาะกับสำหรับมือใหม่ที่ต้องการสร้าง Content ออนไลน์ เพราะเชื่อมต่อได้ง่ายกับคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ Windows และ Mac OS นั่นเอง ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานได้ครับ
หากคุณกำลังมองหาไมค์อัดเสียงขนาดเล็ก ไว้ใช้งานคู่กับสมาร็ทโฟนล่ะก็ ไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ช่วยคุณได้ครับ ด้วยการดีไซน์ตัวไมค์ให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาได้สะดวก และยังสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ง่าย เพียงแค่เสียบหัวแจ็คขนาด 3.5 mm เข้าที่ช่องหูฟังของสมาร์ทโฟนเท่านั้น นอกจากนี้ ยังสามารถปรับทิศทางของหัวไมค์ได้ ช่วยให้รับเสียงได้หลายมุมมากขึ้น แถมยังไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ในการใช้งานอีกด้วย ที่สำคัญ อัดเสียงได้หลายย่านความถี่ด้วยครับ
ไมค์อีกรุ่นที่ตอบโจทย์สำหรับการประชุม ด้วยฟังก์ชันการรับเสียงจากรอบทิศทางในระยะกว้าง และความสามารถในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรงด้วยสาย USB แถมยังมีปุ่มกดเพียงปุ่มเดียว สำหรับเปิด-ปิดการรับเสียงของไมค์ ช่วยลดความยุ่งยากในการใช้งานได้ดี นอกจากนี้ ยังมีซิลิโคนที่ช่วยลดเสียงรบกวน อย่างเช่น เสียงร้องของเด็ก ทำให้แม้ว่าคุณจะต้องประชุมทางไกลจากที่บ้านก็ไม่มีปัญหา และยังแข็งแรง ทนทาน ด้วยวัสดุโลหะอย่างดีที่ใช้ในการผลิต จึงสามารถใช้งานได้ยาว ๆ อย่างคุ้มค่าครับ
ไมโครโฟนรุ่นนี้ ถูกออกแบบมาให้รับเสียงได้รอบทิศทางในรัศมี 3 เมตร ทำให้รับเสียงได้ชัดเจนพร้อมกันหลายคน แถมยังมีปุ่มกดสำหรับปิดเสียงในกรณีพักการประชุม หรือคุยเนื้อหาภายในระหว่างสนทนาด้วย ซึ่งถือว่าเหมาะมากสำหรับการประชุมและการคุยธุรกิจกับลูกค้า นอกจากประสิทธิภาพในการรับเสียงที่ทั้งดีและมีระยะกว้างขวางแล้ว ไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ยังสามารถเปิดใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ได้ง่ายเพียงเชื่อมต่อกับสาย USB อีกด้วยครับ
ไมค์อัดเสียงเป็นอุปกรณ์ที่บอบบางและแตกหักง่าย คุณจึงควรใช้งานด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็มีข้อควรระวังในการใช้งาน ดังต่อไปนี้
ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์นั้นมีลักษณะค่อนข้างบอบบาง เพราะมีโครงสร้างและอุปกรณ์ภายในชิ้นเล็กสำหรับการรับเสียงหลายชิ้น ดังนั้น คุณจะต้องระมัดระวังอย่างมากในขณะที่ใช้งาน พกพา หรือเก็บรักษา
เพื่อเพิ่มความสบายใจ เราขอแนะนำให้คุณใส่เคสหรือกล่องเก็บไมค์ให้ดีเมื่อคุณจะเคลื่อนย้ายไมค์ รวมไปถึงคอยระมัดระวังการกระแทกและสั่นสะเทือนในขณะวางบนโต๊ะหรือพื้นให้ดีด้วย โดยให้คิดไว้เสมอว่า หากมีการกระแทกแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะทำให้ไมค์โครโฟนเสียหายได้
ความชื้นเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลเสียต่อไมค์อัดเสียงไม่แพ้การสั่นสะเทือนหรือการกระแทก โดยทั่วไปเมื่อซื้อไมค์อัดเสียงมานั้น ในกล่องผลิตภัณฑ์มักจะมีซองกันชื้นติดมาด้วยเสมอ เพื่อการดูแลรักษาไมค์ที่ดี คุณควรใส่ซองกันชื้นดังกล่าวไว้ในกล่องทุกครั้งที่จัดเก็บไมค์อัดเสียงครับ
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการนำน้ำเข้าไปดื่มในห้องอัดเสียง เพราะคุณอาจจะเผลอทำน้ำหกในห้อง และเมื่อห้องเกิดความอับชื้น คุณภาพในการอัดเสียงก็จะลดลง เสียงที่อัดอาจจะไม่ชัดเจนหรือมีคุณภาพที่ดีพอ ดังนั้น พยายามระวังไม่ให้ห้องอัดเกิดความชื้น เพื่อรักษาเสียงให้มีคุณภาพตามมาตรฐานครับ
เพื่อการใช้งานอย่างราบรื่น คุณควรทำการติดตั้งไมค์อัดเสียงให้ถูกต้องตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้
1. ตรวจสอบค่า Pre-Amp ของไมค์ให้มีค่า 0 หรือดู Phantom Power ว่าปิดอยู่หรือไม่
2. ติดตั้ง Shock Mount หรือตัวที่ใช้ติดกับขาไมค์เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนของไมค์
3. เสียบสายเคเบิลให้เรียบร้อย
4. เปิด Phantom Power และปรับค่าต่าง ๆ ตามต้องการ
นอกจากนี้ อย่าลืมตรวจสอบสายเคเบิลว่าเสียบได้สนิทดีหรือไม่ ก่อนจะเปิด Phantom Power ทุกครั้ง โดยอย่าลืมว่าหากคุณเชื่อมต่อสายเคเบิลหลังจากเปิดตัวจ่ายพลังงานแล้ว บางครั้งอาจส่งผลให้ไมค์อัดเสียงขัดข้องหรือเสียได้ และหลังจากที่ใช้งานเสร็จแล้ว ควรจัดเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่อย่างเป็นระเบียบด้วยนะครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับบทความเรื่องไมค์อัดเสียงที่เราได้นำมาเสนอกันในวันนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการที่จะเลือกซื้อไมค์อัดเสียงสักตัว เพราะมีวิธีการเลือกที่คุณต้องพิจารณาให้ดีหลายขั้นตอนก่อนซื้อ เช่น เรื่องความไวในการรับเสียง, ทิศทางของการรับเสียง, จุดประสงค์ของการใช้ไมค์อัดเสียง เป็นต้น ซึ่งเราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกไมค์อัดเสียงที่ได้คุณภาพและตรงตามที่คุณต้องการ เพื่อไปใช้ในการอัดเสียง การ LIVE หรือการทำ Content ในสื่อออนไลน์ของคุณให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นนะครับ